จำนวนธรรมชาติ และ จำนวนเต็ม (Natural Numbers and Integers)
ในทางพีชคณิต เราสามารถระบุจำนวน แบบเฉพาะเจาะจงได้ ในกรณีนี้ เราจะพูดถึง เซต ของจำนวน อยู่ 2 ประเภทคือ จำนวนธรรมชาติ และจำนวนเต็ม โดยเราพิจารณาเซตเฉพาะได้ดังต่อไปนี้
เซตของจำนวนนับ \{1,2,3,4,\dots \} ในทางคณิตศาสตร์ เซต ดังกล่าวนั้นจะถูกเรียกว่า จำนวนธรรมชาติ (natural numbers) และเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ N เซตของ จำนวนเต็ม (integers) คือเซตที่รวมจำนวน ธรรมชาติ จำนวนลบของจำนวนธรรมชาติ และ ศูนย์ โดยปกติจะใช้สัญลักษณ์แทนคือ I
I =\{\dots, -3,-2,-1,0,1,2,3,\dots \}
ข้อสังเกตระหว่าง เซต สองทั้งสองคือ เซตของ จำนวนธรรมชาตินั้น เป็นสับเซตของ เซตของจำนวนเต็ม
N\subset I
ในหัวข้อนี้ เราจะมาพูดถึง กฎที่ครอบคลุมการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ ของจำนวนเต็ม อย่างแรกที่เราจะพูดถึงกันก็คือ แนวความคิดเรื่อง ค่าสมบูรณ์ (absolute value)
ค่าสมบูรณ์ของตัวเลข x เขียนแทนได้ด้วย |x| และค่าเท่ากับ
- |x| คือ x ถ้า มีค่ามากกว่าหรือ เท่ากับ ศูนย์
- |x| คือ -x ถ้า x มีค่าน้อยกว่า ศูนย์
ค่า สมบูรณ์ของตัวเลขนั้น จะมีค่าเป็นบวกหรือ เป็นศูนย์ของตัวเลขนั้น โดยค่าสมบูรณ์ของจำนวนที่เป็นลบ นั้น จะถูกเปลี่ยนเครื่องหมายให้เป็น บวกเสมอ เช่น
- ค่าสมบูรณ์ ของ 3 คือ 3
- ค่าสมบูรณ์ของ 0 คือ 0
- ค่าสมบูรณ์ของ -2 คือ 2
กฎพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ที่สัมพันธ์กับจำนวเต็ม หรือกฎโดยทั่วไปที่ใช้ตัวเลขที่ไม่ใช่จำนวนเต็ม คือ
กฎข้อที่ 1 | ตัวอย่าง |
---|---|
การบวก จำนวนเต็ม สองจำนวนหรือมากกว่า และมีเครื่องหมายเดียวกัน ผลลัพธ์ของการบวกนั้น จะได้ค่าเครื่องหมาย ที่เหมือนกับจำนวน เริ่มต้น |
(-27)+(-6)=-33 -6+(-5)+(-9)=-20 |
กฎข้อที่ 2 | ตัวอย่าง |
---|---|
การบวก จำนวนเต็ม สองจำนวนที่ มีเครื่องหมาย ต่างกัน ถ้าค่าสมบูรณ์ของตัวเลขที่น้อยกว่า ลบออกจากค่าสมบูณ์ ของตัวเลขที่มากกว่า ผลลัพธ์ที่ได้ จะได้เครื่องหมายของเดียวกันกับ ตัวเลขของค่าสมบูรณ์ที่มากกว่า |
-23+15=-8 45+(-29) =16$ |
ตัวอย่าง
จงบวกจำนวนเต็มดังต่อไปนี้
(-21)+7+(-8)+(-13)+12
อันดับแรกทำการบวก ตัวเลขที่เป็นจำนวนลบ โดยใช้ค่าสมบูรณ์ของจำนวนลบนั้นบวกกัน
21+8+13 = 42
ดังนั้น
(-21)+(-8)+(-13) = -42
ทำการบวกจำนวนตัวเลขที่เป็นบวก
7+12=19
ใช้กฎข้อที่ 2 42-19 = 23 ดังนั้น
(-42)+19=-23
ก่อนที่จำทำการลบจำนวนเต็ม เราควรเข้าใจความหมายของ อินเวอร์สของจำนวน (inverse of a number) อินเวอร์สการบวก (additive inverse) คือจำนวนที่มีเครื่องหมายตรงกันข้ามอยู่ด้านหน้า ของจำนวนนั้น ตัวอย่างเช่น additive inverse ของ 7 คือ -7 additive inverse ของ -5 คือ 5 ข้อสังเกต additive inverse ของ 0 คือ 0 ดังนั้นค่า 0 จึงไม่ใช่จำนวน บวกหรือ จำนวนลบ การบวกจำนวน กับ additive inverse ของจำนวนนั้น จะมีค่าเท่ากับ 0 ตัวอย่าง 6+(-6)=0 , (-11)+11=0 และ 0+0=0 ถ้ามีเครื่องหมายลบ - อยู่หน้าจำนวน additive inverse จะต้องทำการเปลี่ยนเครื่องหมายของจำนวน additive inverse เช่น -(-8)=8 คือ additive inverse ของ -8 ดังนั้น 8 คือ additive inverse ของ -8 หรือ -(-8)=8 สามารถเขียนได้ในรูปแบบทั่วไปคือ
-(-a)=a เมื่อ a เป็นจำนวนใดๆ
กฎข้อที่ 3 | ตัวอย่าง |
---|---|
การลบจำนวนเต็ม โดยการบวกจำนวน additive inverse ของจำนวนนั้น เช่น ถ้า a และ b คือจำนวนเต็ม ดังนั้น a-b=a+(-b) |
7-(-12)=7+12=19 -3-22 =-3+(-22)=-25 |
ถ้าเรามีจำนวนเต็ม ที่ดำเนินการบก หรือ ลบกัน เราสามารถ เปลี่ยนทั้งหมดนั้นให้เป็นการบวกได้ โดยใช้กฎข้อที่ 3 และประยุคก์ กฎในการบวกเลขของจำนวนเต็ม
ตัวอย่าง
ดำเนินการ บวกและ ลบจำนวนดังต่อไปนี้
-8-19+29-(-40)+(-11)
เปลี่ยน 19 ไปเป็น (-19) และ -40 ไปเป็น 40 และเปลี่ยนการดำเนินการ ก่อนที่จะทำการบวกกัน
-8-19+29-(-40)+(-11)=-8+(-19)+29+40+(-11)
= -8+(-19)+(-11)+29+40
= -38+69
=31
เมื่อเราทำการบวกตัวเลข เราสามารถใช้คำเรียกการบวกนั้นได้ว่า terms เช่น 7+(-16)=-9 terms ก็คือ 7 และ -16 ส่วน -9 นั้นเราจะเรียกว่า ผลรวม (sum) แต่เมื่อเราทำการคูณ ตัวเลขที่เราทำการคูณ จะถูกเรียกว่า factors เช่น 5*8=40 ดังนั้น factors ก็คือ 5 และ 8 ส่วนผลลัพธ์ที่ได้นั้น จะถูกเรียกว่า ผลคูณ (product)
กฎข้อที่ 4 | ตัวอย่าง |
---|---|
ผลคูณของจำนวนเต็มสองจำนวน ถ้าเครื่องหมายเหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะมีค่าเป็นบวก |
16\times 5 =80 (-3)\times (-14)=42 |
กฎข้อที่ 5 | ตัวอย่าง |
---|---|
ผลคูณของจำนวนเต็มสองจำนวน ถ้าเครื่องหมายตรงกันข้ามกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะมีค่าเป็นลบ |
13\times (-3) = -39 (-4)\times 16 =-64 |
แต่เมื่อเรา ทำการคูณ จำนวนเต็มมากกว่า สองจำนวน เราจะพิจารณาโดย ทำการคูณทีละสองจำนวนในแต่ละครั้ง โดยจากทางซ้ายมือก่อน และผลคูณของ แต่ละครั้งนั้น ก็จะนำไปคูณกับตัวเลขถัดไป จน การคูณนั้นเสร็จสิ้น
ตัวอย่าง
จงทำการคูณตัวเลขดังต่อไปนี้
(-5)\times (3)\times (-2)\times (-4)
(-15)\times (-2)\times (-4)
(30)\times (-4)
-120
จากการดำเนินการของตัวอย่างที่กล่าวมา เราสามารถตรวจจับรูปแบบ และทำนายเครื่องหมายของผลคูณได้ดังนี้
กฎพื้นฐาน ในข้อที่ 4 และ 5 | ตัวอย่าง |
---|---|
ถ้าตัวเลขของ factors ที่เป็นลบ นั้นมีจำนวนเป็นจำนวนคู่ ผลคูณที่ได้ นั้นจะมีค่าบวก เสมอ |
(-5)(11)(-2) = 110 (-2)(3)(-5)(-1)(-5) = 150 (-2)(-2)(-2)(-2)(-2)(-2)=64 |
ถ้าตัวเลขของ factors ที่เป็นลบ นั้นมีจำนวนเป็นจำนวนคี่ ผลคูณที่ได้จะมีค่าเป็น ลบเสมอ | (-12)(9)=-108 (1)(-4)(-7)(2)(-1)=-56 (-1)(-2)(-3)(-4)(-5)=-120 |
ข้อสังเกต factors ของจำนวนที่เป็นบวก นั้นไม่มีผลกระทบ กับเครื่องหมายของผลคูณ
กฎข้อที่ 6 | ตัวอย่าง |
---|---|
ผลคูณของจำนวนศูนย์ กับจำนวนเต็มอื่นๆ มีค่าเท่ากับ 0 เสมอ | (-45)(0)=0 (0)(-20)(-12)(7)=0 |
เมื่อ factors ทั้งหมดของผลคูณนั้น เป็นตัวเลขเดียวกัน เราสามารถเขียนให้สั้นลงได้ด้วย ตัวเลขยกกำลัง (power notation) หรือ เอกซ์โพเนนเซียล (exponential notation) เช่น 2.2.2.2.2 เราสามารถเขียนได้เป็น 2^5 เมื่อ 2 เป็น factor การคูณ และเราจะเรียกว่า ฐาน (base) และ 5 นั้นคือจำนวนของ factors จะถูกเรียกว่า กำลัง (power) หรือ เอกซ์โพเนน (exponent) ตัวเลขที่แสดง 2^5 จะอ่านว่า สอง ยกกำลัง ห้า เช่น
3.3.3.3 = 3^4 = 81 อ่านว่า สามยกกำลังสี่
5.5.5 = 5^3 = 125 อ่านว่า ห้ายกกำลังสาม
สามารถเขียนในรูปทั่วไปได้ดังนี้
a^n =a.a.a.\dots a เมื่อ a จำนวนใดๆ และ n คือจำนวนธรรมชาติ
ข้อสังเกตุ
เมื่อฐานเป็นลบ เราสามารถใส่เครื่องหมายวงเล็บได้ที่เลขฐาน และเขียน เลขยกกำลังไว้ด้านนอกของ วงเล็บ พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ (-5)^2=(-5)(-5) = 25 ฐานคือ -5 ใน -5^2 = -(5.5)=-25 ดังนั้นเลขยกกำลัง 2 นั้นจะยกกำลังเฉพาะเลข 5 เท่านั้น ไม่ได้ยกกำลังเครื่องหมายลบ ที่อยู่หน้าเลขฐานด้วย เราเลยเขียนเครื่องหมายลบไว้หน้าคำตอบหลังจากเราได้ผลของ 5^2 แล้ว
ตัวอย่าง
1. (-13)^2
(-13)^2 =(-13)(-13) = 169
2. -6^3
-6^3 = -(6.6.6) = -216
ในการหารนั้น 6\div 2 =3 เราจะเรียกว่า การหาร (dividend) โดย 2 นั้นเรียกว่า ตัวหาร (divisor) และ 3 นั้นเรียกว่า ผลหาร (quotient) ดังนั้นเราจึงพูดได้ว่า 6 นั้นถูกหาร ด้วย 2 และในหัวข้อนี้ เราจะพิจารณาเฉพาะ กรณี จำนวนเต็มหนึ่ง จำนวน ถูกหารด้วยจำนวนอื่นๆ
กฎข้อที่ 7 | ตัวอย่าง |
---|---|
ผลหารของจำนวนเต็ม สองจำนวนที่มีเครื่องหมายเหมือนกัน จะมีเครื่องหมายเป็นบวก |
48\div 3=16 -56/(-2)=28 |
กฎข้อที่ 8 | ตัวอย่าง |
---|---|
ผลหารของจำนวนเต็ม สองจำนวนที่มีเครื่องหมายต่างกัน จะมีเครื่องหมายเป็นลบ |
-45/15 = -3 52\div (-4) = -13 |
เราสามารถตรวจสอบคำตอบ จากการหาร โดยกำหนดได้จาก
(ตัวที่ถูกหารหาร)= (ผลหาร). (ตัวหาร)
เช่น เมื่อ 52\div (-4) = -13 เป็นจริง เพราะว่า 52=(-13)(-4)
กฎข้อที่ 9 | ตัวอย่าง |
---|---|
1. 0 หารด้วยจำนวนเต็มใดก็ตามที่ไม่ใช่ 0 ผลหารทีได้ จะมีค่าเท่ากับ 0 |
0\div 5 =0 0/(-24) = 0 |
2. เราไม่สมารถนำตัวเลขใดๆ มาหารด้วย 0 ได้ | 7\div 0 ไม่นิยาม 0/0 ไม่นิยาม |
ดังนั้น เราตรวจสอบจากกระบวนการบางอย่างได้ (-24)(0)=0 เราสามารถเขียนใหม่ได้ว่า 0/(-24) =0 ในทางกลับกัน ถ้าเราพยายามหาคำตอบของ 7\div 0 เราก็เจอกับปัญหามากมาย และ มีข้อผอดพลาด เช่น 7\div 0 = 0 ตรวจสอบ จะได้ (0).(0)\neq 7 เราจะเห็นว่า ไม่เป็นความจริง หรือเป็นไปไม่ได้ที่เราจะหาคำตอบจาก 0/0 ดังนั้น ( ).0 =0 ไม่ว่าตัวเลขใดๆก็ตามที่ใส่เข้าไปในวงเล็บ แล้วเราหาคำตอบของตัวเลขนั้น จะได้ 0/0=() ดังนั้นมันไม่มีคำตอบ เราจึงพูดได้ว่า การหารตัวเลขใดๆก็ตามด้วย 0 หรือ 0/0 นั้น ไม่นิยาม
หลีกเลี่ยงความผิดพลาดดังต่อไปนี้
ไม่ถูกต้อง | ถูกต้อง |
---|---|
1. จำนวนลบ สองจำนวนสามารถสร้างจำนวนที่เป็นบวกได้ | ผลบวกของจำนวนลบสองจำนวน คือ จำนวนลบ (-5)+(-8) = -13 ผลคูณ หรือ ผลหาร ของ จำนวนลบ สองจำนวน นั้นมีค่าเป็นบวก (-12).(-8) = 96 (-54)\div (-3) = 18 |
2. -3^2 = 9 | (-3)^2 = (-3).(-3) = 9 |
3. 5/0 = 0 | 5/0 นั้นไม่นิยาม |
4. 0/0 = 0 | 0/0 นั้นไม่นิยาม |
No comments:
Post a Comment